วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

ชมแสงสวยจากฟากฟ้า ท้าลมหนาวส่องตะวันงาม บนยอดภูเรือ


ใกล้หน้าหนาวแล้ว ก็อยากจะกรี๊ดดังๆ กับการจดจ่อรอคอยมานาน ก็แบบว่าๆๆๆ...มันเป็นฤดูกาลที่โรแมนติ๊ก โรแมนติก จนอดคิดถึงไม่ได้น่ะสิ 555+ ไม่ต้องพูดถึงซีรีย์โรมานซ์เรื่องต่างๆ หรอก แค่ได้สัมผัสบรรยากาศในช่วงนั้นมันก็รู้สึกเองได้แล้ว แต่ถ้าคุณไม่รู้สึก แสดงว่าคุณไม่ใช่คนโรแมนติกนะ คริๆ อันนี้ว่ากันไม่ได้...


ว่าแต่จดจ่อขนาดนี้ให้นอนซุกใต้ผ้าห่มอย่างเดียวก็คงไม่สนุก ทีนี้ก็ต้องมานั่งนึกล่ะ ว่าจะมองหาที่เที่ยวไหนที่เหมาะๆ ดี ไม่สะดวกไปต่างประเทศ ก็เอาบ้านเราให้คุ้มก่อนนี่แหล่ะ ที่สวยๆ อากาศดีๆ ให้สูดเต็มปอดมีเยอะแยะไป


และช่วงเวลานั้นมันก็เป็นอะไรที่ช่างบังเอิญและเหมาะเจาะเลยนะคะ ที่พี่ในออฟฟิศชวนไปเที่ยวท้าลมหนาวกันบนภู ไม่ได้เที่ยวอย่างเดียว แต่จะได้ไปทำบุญจากการบริจาคของในน้องๆ ผู้ยากไร้อีกต่างหาก ... ว้าวววว!~...แม่พระนักบุญอย่างเรายิ้มออกมาเหมือนบรรลุศีลข้อที่ 1001 เลยทันที 555+ (ศีลมันมีข้อเท่านี้ด้วยหรือนั่น -*-) ได้ฟังรายละเอียดแล้ว เสียแค่ 1,200 บาทเท่านั้นเอง เหมารถตู้กันไป ได้ทั้งเที่ยว ได้ทั้งบุญแบบมีกิจกรรมอิงมาด้วยแบบนี้ ไม่คิดนาน เก็บกระเป๋าตัดสินใจไปเลยแล้วกัน ฮุๆๆ ถูกใจ...^^

จุดหมายปลายทางที่เราจะไปกันในทริปนี้ก็คือ ภูเรือ จังหวัดเลยค่ะ วิ่งลัดเลาะเส้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือไป ระหว่างทางก็แวะทานส้มตำข้างทาง ติดถนนใหญ่เลยเชียว ราคาต่อหัวก็ตามอัตราท้องตลาดที่ทานๆ กันประจำนั่นแหล่ะค่ะ จากนั้นเดินทางกันต่อ หลับๆ ตื่นๆ ไปพร้อมของบริจาคที่อัดกันมาเต็มคันรถ ในที่สุดประมาณช่วงเย็น ก็ถึงเพชรบูรณ์กันซะที ที่นี่เป็นที่แรกที่เราได้แวะล่ะ เป็นบ้านของคุณครูที่สอนอยู่ในโรงเรียนที่เราจะไปบริจาคกัน ซึ่งต้องเดินทางไปถึงหุบเขานู่นนน...แต่เวลานี้ขอแวะล้างหน้าล้างตา ก่อนจะไปยังสถานที่เที่ยวแรกกัน

แจ๊คเก็ตพร้อม กล้องถ่ายรูปพร้อม เตรียมขึ้นไปสะท้านลมหนาวกันบนภูใกล้ๆ นี่กันก่อนเลย...ภูที่ไปนี้ ออกมาถนนใหญ่ มองไปก็เห็นแต่ไกลค่ะ ไกด์ที่นั่นชี้ให้ดู หลังจากนั้นก็ขับรถวนขึ้นไป หูอื้อไป ชมวิวไป และแวะยังจุดแรกที่เป็นศาลาระหว่างทาง เพื่อเก็บภาพสวยกันในแบบต้นหญ้าพริ้วๆ กับบรรยากาศที่สูง มองไปก็มีแต่สีเขียวเต็มไปหมด พร้อมหมอกบางๆ อเมซซิ่ง น่าลงไปนอนกลิ้งมากๆ (ถ้ามันกลิ้งได้นะ อิอิ)


ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น


แวะถ่ายรูปตรงนี้เสร็จแล้ว ก็ไปจุดหมายที่สูงขึ้นไปอีกกันต่อ ภูทับเบิกที่เรามุ่งเดินทางไปถึง อากาศค่อนข้างหนาวเลยทีเดียว ช่วงนี้เป็นช่วงวันพ่อ ต้นเดือนธันวาคมค่ะ แน่นอนว่าต้องหนาวอยู่แล้ว ช่วงบ่ายๆ ข้างล่างบนพื้นดินทั่วไปก็ร้อนเล็กๆ อยู่นะ แต่พอเข้าช่วงเย็นแบบนี้ ในที่สูง อากาศเปลี่ยนไปทันตาเลย หนาวเรียกความโรแมนติกระดับเบสิคไปก่อน ซ้อมไว้ๆ คริๆ



วิวข้างบนนี้ก็สวยยิ่งกว่าตรงที่แวะก่อนหน้านี้ซะอีก จอดรถปุ๊ปก็เจอร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย เดินออกไปริมผา ก็จะมีโขดหินมากมายให้นั่งโพสท่าถ่ายรูปสวยๆ พร้อมวิวงามๆ ข้างหลังกัน ทีนี้แหล่ะ เกือบทุกชีวิตที่มาบ้ากล้องกันหมด รัวชัตเตอร์กันไม่เลิก เอิ๊กๆๆ สงสัยจะคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกซีรีย์เกาหลีที่อยู่ท่ามกลางสายลมหนาวกันล่ะมั้ง ฮ่าๆๆ


ถ่ายรูปตรงนี้เสร็จ ก็วนไปตามภูแห่งนี้ตามที่คนขับมาเพลินไปเรื่อยๆ เชื่อมเส้นทางไปมาก็ถึงภูหินร่องกล้า ว้าว!...ชื่อคุ้นหูมากมาย เคยได้ยินชื่อนี้บ่อยๆ เลยล่ะ อยู่ๆ ก็ได้มาแบบไม่รู้ตัวซะงั้น 555+ มาที่ภูแห่งนี้ เราได้แวะวัดที่ตั้งอยู่บนภูแห่งนี้ด้วยค่ะ ซึ่งต้องผ่านหมู่บ้านชาวเขาด้วย มีแม่เอาลูกใส่ตะกร้าข้างหลังสะพายเดินไปมา (ไม่รู้เค้าเรียกว่าอะไร?) แต่มันดูน่ารักมากๆ อิอิ เด็กๆ วิ่งอยู่ตรงริมถนนเต็มไปหมด แถวนั้นมีโรงเรียนเล็กๆ ด้วย ดูกันอยู่บ้าง แต่สีหน้าพวกเขาก็ค่อนข้างมีความสุขกับชีวิตเรียบง่ายที่เคยชินแบบนั้นดีนะคะ



ไปที่วัด ก็ไหว้พระ แวะรับพรจากหลวงพ่อกันพร้อมรับสายสิญจน์ที่เป็นเหมือนสร้อยข้อมือไปสวมกันคนละเส้น ก่อนออกไปถ่ายรูปรอบๆ บริเวณนั้นกันต่อ ต้นไม้แถวนี้สวยดีค่ะ มีต้นสนเต็มไปหมด พร้อมวิวข้างหลัง ดูไม่คุ้นตา เหมือนอยู่ในที่ที่แปลกออกไปแบบที่ไม่ค่อยเจอได้บ่อยๆ ^^ ก็เลยถ่ายรูปหมู่เก็บกันเยอะหน่อย



ขากลับตอนลงจากภู สิ่งที่ชอบมากๆ คือ ระหว่างทางจะมีไร่กระหล่ำปลีเต็มไปหมด ดูสวยงาม อลังการสายตามากๆ หืมม...ปลูกกันที่สูงกันเลยทีเดียว ทำให้มันดูเป็นขั้นๆ ไปตามแนวภูเขา... นั่นแหล่ะค่ะ ที่ทำให้มันดูสวยสะดุดตามากๆ ขับผ่านไป ก็จะเห็นชาวเขาเดินสะพายตะกร้าหลังกลับจากไร่หลายคนเลย ในจังหวะนี้ ดวงอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยต่ำลงเต็มที มันเลยทำให้เป็นแสงตะวันเหนือภูเขาที่ดูงดงามเลยทีเดียว

ลงมาถึงข้างล่างภาคพื้นดินที่ราบแล้ว แวะซื้อของกินกันก่อนที่จะเริ่มเดินทางไปยังโรงเรียนที่จะไปบริจาคของกัน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เราจะต้องไปพักกันล่ะ ว้าววว...โรงเรียนกลางหุบเขาที่เหน็บหนาว ตอนได้รู้ว่าต้องนอนที่นั่น ก็เป็นอะไรที่ท้าทายดีนะคะ นึกภาพตามแล้วก็ตื่นเต้น เพราะเป็นอะไรที่ไม่เคยได้สัมผัสเท่าไหร่ ถ้าไม่รวมตอนที่เข้าค่ายในโรงเรียนธรรมดาๆ เมื่อตอนประถม อิอิ


ไปถึงแล้ว จะได้รู้ว่ามันช่างแตกต่างจริงๆ ค่ะ ระหว่างทางที่ไป สองข้างทางไม่มีไฟฟ้าเลย ค่อยๆ ขับรถไปตามถนนที่ขรุขระ นั่งจนหลังแข็ง 555+ แต่ชอบตรงที่ได้มองเห็นดวงดาวเต็มไปหมด สวยมากๆๆๆ...เงยหน้ามองไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกถึงความหนาวที่ค่อยๆ ซึมซับเข้าสู่ร่างกายทีละน้อย ก็ชักโรแมนติกแล้วสิ อิอิ

ในที่สุดก็เดินทางมาถึงโรงเรียนค่ะ ซึ่งเป็นเกียรติมากๆ เพราะเหล่าคณะครูใหญ่ คุณครู เด็กนักเรียน และผู้ปกครองยืนเรียงแถวต้อนรับพวกเราด้วยความตื่นเต้น ว้าววว...เพิ่งรู้นะคะว่ามันน่าตื่นเต้นขนาดนี้เลย ลงจากรถปุ๊ปก็เจอเด็กๆ มายืนมอง รุมล้อมด้วยความเขินอายบ้าง สนอกสนใจต่างกันไป (เอ๊ะ! หรือเราจะเป็นของแปลกเกินธรรมดาจริงๆ 555+)


ช่วยกันขนของบริจาคลงจากรถกันแล้ว ทีนี้ก็ได้ไปนั่งล้อมวงรอบกองไฟค่ะ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้ดีเลย แต่ที่ช่วยทำให้รู้สึกอบอุ่นมากขึ้น ก็คงจากการต้อนรับและสิ่งที่ได้รับจากเด็กๆ และคุณครูล่ะ เด็กๆ พวกนี้มีการแสดงมาฝากด้วย จากนั้นก็เริ่มชวนพวกเราออกไปเต้นด้วยกัน อืม...จริงๆ เคยเห็นแต่ในหนังนะคะ จะว่าไปก็สนุกดีเหมือนกัน (ไอเราก็เขินๆ เลยเน้นเป็นตากล้องล่ะกัน คริๆ) หันซ้ายขวามองไป ผู้ปกครองที่มานั่งเฝ้าลูกหลาน นั่งยิ้มแป้นกันไม่หุบเลย คนชราไม่มีฟัน ยังนั่งฉีกยิ้มกว้างจนน่ารัก เห็นแล้ว อดยิ้มตามไม่ได้เลยล่ะค่ะ น่าร๊ากกก!




กว่าจะจบกิจกรรมก็น่าจะสักราวๆ เที่ยงคืนได้ อากาศก็หนาวขึ้นเรื่อยๆ ลองทำเป็นใส่แค่เสื้อยืดดูขำๆ ว่าจะสู้ได้มั้ย อ๊ะ! ก็ยังไหวนะ (นานๆ ทีได้สัมผัสก็คงชอบอย่างนี้แหล่ะ ให้อยู่ทุกวันก็คงแข็งกันพอดี อิอิ)

ตึ่กตั่กๆๆๆ...หัวใจเริ่มเต้นรัว พอได้รู้ว่าถึงเวลาแล้วที่จะได้อาบน้ำอันเย็นเฉียบบบบ...ในยามดึกแบบนี้แล้ว โอ้ววว...จะไหวมั้ยเนี่ยเรา 555+ มีบางคนขอบายไปอาบเช้านะคะ ยอมซุกตัวนอนทั้งที่เดินทางมาทั้งวันเลยทีเดียว อึ๋ย!! เอามืออุดจมูก ฮ่าๆๆ แต่อ๋อว่า...เดินทางมาทั้งวันแล้ว อาบกลางคืนดีกว่าอีก ตอนเช้าแค่นอนไปไม่กี่ชั่วโมง ไม่อาบยังจะน่าเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ก็เลยไปต่อคิวอาบพร้อมคนที่เลือกอาบเหมือนกัน ห้องน้ำแบบว่า...ว้ากกกก...ไม่มีเพดานไม่มีอะไรทั้งสิ้น แค่ไม้กั้นล้อมไว้ ก็มิดชิดรอบด้านนะคะ แต่ด้านบนเป็นแบบ Open Air 555+ สุดๆ อ่ะค่ะ ราดไปขันแรก กรี๊ดดด!!...สะดุ้งโหยงกระโดดย่ำๆ รัวเลย แต่กลับรู้สึกสนุกแฮ่ะ ฮ่าๆๆ...นานๆ ทีเอาเหอะ แต่ที่มันยิ่งกว่า ก็ตอนที่ราดไปที ลมพัดมาจากข้างบนทีนี่แหล่ะ บรรยายไม่ถูกเลยค่ะ หนีลงลำธารกลางแจ้งเลยดีกว่ามั้ย ไหนๆ ก็ทนได้ขนาดนี้แล้ว เอิ๊กๆๆๆ


อาบน้ำเสร็จ สดชื่นมากๆ ทีนี้ก็ได้เวลาขึ้นไปบนห้องเรียนชั้นสองที่ทางคณะต้อนรับปูที่นอนไว้ให้ ต่างคนต่างเอาผ้าห่ม เสื้อหนาวของตัวเองคลุมหัว ซุกตัวหาความอบอุ่นได้ให้มากที่สุด และในที่สุดก็หลับไปจนได้ ฟี้!

เช้ามา ตื่นตัวอีกแล้วค่ะ ตอนนอนรู้สึกตัวหลายรอบมาก คอยถามในใจว่า...เมื่อไหร่จะเช้าซะทีนะ? ตื่นเต้นนนน!!~...พอมีคนนำในการตื่นได้แค่คนสอง ก็ขอตามเลยค่ะ อยากไปดูบรรยากาศยามเช้า ออกไปก็เจอบางคนนั่งกินข้าวหลามที่เอาย่างกับกองไฟที่ยังมอดไม่หมดจากเมื่อคืนอยู่ เลยไปแจมด้วย เรียกไออุ่นเพิ่มได้ดีอีกต่างหาก อิอิ ร่างกายอบอุ่นขึ้น พร้อมเอร็ดอร่อยกับข้าวหลามไปพอประมาณแล้ว จากนั้นก็ได้เวลาถ่ายรูปต่อ วิ่งรอบโรงเรียนเลย ฮิๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรมากนะคะ เดินไม่ถึงสองนาทีก็ครบรอบโรงเรียนแล้ว แต่ก็ชอบความแตกต่างอันหายากที่มันได้มาสัมผัสนี่แหล่ะ ระฆังที่ห้อยอยู่ตรงตึกไม้ใกล้ทางเข้าดูขลังมากๆ หน้าห้องเรียนที่มีรูปในหลวงกับราชินีแขวนไว้อยู่ ยิ่งทำให้นึกถึงเวลาดูหนังในฉากแหล่งกันดาร ได้เจอกับตาแล้วชอบค่ะ ^^




พิธีการในการมอบของบริจาคอย่างเป็นทางการมาถึง ครูใหญ่และตัวแทนของเราได้กล่าวอะไรกันเล็กน้อย ให้เด็กๆ ที่มาในชุดนักเรียนทำกิจกรรมกันพอหอมปากหอมคอ ก่อนที่จะต่อแถวกันมารับของพร้อมรอยยิ้มที่ดีใจ และยังมีการแจกชุดผ้าห่มให้กับผู้ปกครองที่ถูกส่งรายชื่อมาอีกด้วย สุขใจทั้งคนรับและคนมอบกันไปล่ะค่ะงานนี้





ได้เวลาลาจาก ก็ต้องเดินทางไปยังที่หมายหลักในการท่องเที่ยวอย่างเต็มคราบ เอ้ย! เต็มตัวของเราแล้วว... -*- “ภูเรือ” สถานที่ท้าลมหนาวที่ยิ่งกว่าสำหรับทริปครั้งนี้นี่เอง...จะบอกว่า เคยนั่งดูหนังสือท่องเที่ยวตอนเด็กๆ ซึ่งมีสถานที่มากมายให้เลือกชมภาพ แต่ที่นี่กลับเป็นที่ที่อยากไปที่สุดจากการดูรูปล่ะไม่รู้ทำไม เพียงแค่สะดุดว่ามันสวยถูกใจเราอ่ะค่ะ เลยอยากไปอยู่พอดี ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีเลยล่ะ ที่ได้มาสมใจ เอิ๊กๆๆ...


เดินทางลัดเลาะไปตามเส้นทางถนน เข้าสู่เส้นทางขึ้นภู ก็แวะช้อปปิ้งกันเล็กน้อย คนไม่มีหมวกก็ซื้อหมวก เลือกกันใหญ่ ตัวเองพกมา 3 ใบด้วยความเห่ออยู่แล้ว เลยพอเถอะ ยืนช่วยเลือกอย่างเดียว อิอิ มองจากข้างล่างขึ้นไปที่หมายก็เห็นหมอกจางๆ แต่พอขึ้นไปถึงจริงๆ ว้าวววว!...หมอกหนาทึบสวยงามมากๆ เลยค่ะ




ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น


ในที่สุด! เราก็มาถึงภูเรือกันแล้ว โย่ววว!!~ หน้าที่ที่ต้องสามัคคีกันเป็นอันดับแรกก็คือกางเต็นท์ นี่ล่ะ ความตื่นเต้นอีกหนึ่งระลอก เป็นพวกละเอียดอ่อนในความรู้สึกค่ะ อะไรแบบนี้เก็บรายละเอียดหมด กรี๊ดในใจไปเรื่อย ถ้ามันน่าประทับใจจริงๆ ฮ่าๆๆ...กางเต็นท์ไปก็มองดูพระอาทิตย์ไปค่ะ มันกำลังตกมาอยู่ตรงขอบฟ้า ส่องแสงสีส้มอร่ามเป็นแนวกว้าง ตระการตายิ่งกว่าที่ได้ชมบนภูทับเบิกเมื่อวานเสียอีก...



ภารกิจเรียบร้อยก็เริ่มถ่ายรูปกันอีกรอบ เตรียมอาหาร ปูเสื่อล้อมวงกัน ทานอาหารด้วยความสนุกสนาน ก่อนสลับกันไปอาบน้ำ นาทีท้าทายความสั่นสะท้านมาถึงอีกแล้ว
555+ Oh!! วันนี้ยิ่งกว่าเมื่อวานอีกค่ะ ใช่สินะ มาถึงยอดภูของจังหวัดเลยที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในจังหวัดที่หนาวแบบนี้ ไม่หนาวก็แปลก อาบไปกรี๊ดไป ในที่สุดก็มานั่งล้อมวงกันอีกรอบ เพื่อรอให้ดึกลงเรื่อยๆ จุดประสงค์คือ อยากดูดาวตกค่ะ อิอิ เค้าบอกว่ามีเยอะ นั่งแหงนจนเมื่อยคอ ในที่สุดก็เห็น...

“ฟิ้วววววว” ว้าววว...ดาวตกมาแล้ว! เสียงตะโกนเพื่อเรียกให้คนอื่นดูให้ทัน ใครทันก็ทัน ไม่ทันก็ไม่ไม่รู้ล่ะ แต่รู้ว่า เราอธิษฐานเป็นที่เรียบร้อย เอิ๊กๆ...ตอนจังหวะไม่มีดาวตก ก็จะได้เห็นหมู่ดาวหลากหลายเต็มท้องฟ้าจนแน่นขนัดไปหมดเลยล่ะ ชอบจัง ดูไม่เบื่อเลย นั่งไปสักพักก็จะมีดาวตกพาดผ่านท้องฟ้าไปเป็นระยะๆ ตัวเองนี่ตัวดูต้นทางเลย จ้องอยู่นั่น พอเห็นก็คอยบอกพี่ๆ ให้รีบมอง สรุปว่า เจอหลายดวง อธิษฐานไปได้เกือบจะครบพร 10 ข้อ คริๆๆ โลภ..!

ยิ่งดึกก็ยิ่งหนาว แต่ไม่หนาวไปถึงระดับที่คาดการณ์ ซึ่งอุณหภูมิต่ำสุดที่เจอคือ 8 องศาเซลเซียสค่ะ มันก็หนาวนั่นแหล่ะ แต่อ๋อว่ายังพอทนได้อยู่ จนกระทั่งถึงเวลาก่อนจะนอนนี่แหล่ะ อ้ากกก!...ขอหนีเข้าเต็นท์ก่อนล่ะค่ะ ตัวจะแข็งหมดแล้ว...พี่ๆ จัดที่ทางให้นอนได้สบาย แต่ก็จงใจเบียดๆ กันจะได้อบอุ่นยิ่งขึ้น อิอิ จำได้ว่าใส่เสื้อไปสี่ตัว สวมหมวก ผ้าพันคอเรียบร้อย แต่ผ่านไปดึกๆ กว่านั้นชักหายใจไม่ออกค่ะ เหงื่อออกได้ไงกันเนี่ย 555+ ก็เลยดึงผ้าพันคอออก คลายเสื้อที่แน่นหนาให้น้อยลง เฮ้ออ!...เกือบทำร้ายตัวเองทางอ้อมไปแล้วมั้ยล่ะ เฮ่อๆๆ


เช้าๆๆๆๆ...เช้าอีกแล้ว ตื่นเต้น อะเกนแอนด์อะเกน ใครขี้เซาเราไม่รอ ขอรีบตามคนตื่นเร็วไปดูพระอาทิตย์ขึ้นก่อนได้มั้ย คริๆ...แย่งรถสองแถวที่ทยอยมารับคนขึ้นเนินด้านบนไปอีกนิสสส...จะเดินก็ได้ แต่มันไม่ทันใจ กว่าจะถึงพระอาทิตย์คงติดขอบฟ้าด้านบนก่อนพอดี เอิ๊กๆ

ถึงจุดชมวิวแล้ว...อะฮ่า!! นี่นะเหรอที่เคยเห็นในรูป ได้สัมผัสกับตาตัวเองซะที คนอื่นพากันไปถ่ายรูป ก็ถ่ายด้วยอยู่พักนึง แต่ขอแยกตัวก่อนล่ะ เข้าโหมดโลกส่วนตัวตามประสาอีกมุมหนึ่งของตัวเอง เอากล้องดีๆ จากบริษัทมา (แหมๆ ก็มาบริจาคสิ่งของในนามบริษัทนี่นา อิอิ) ได้เวลาเก็บภาพสวยอย่างจริงจังแล้ววว...

วิ่งออกไปชะเง้อมองหาดวงอาทิตย์ด้วยความตื่นเต้น มันยังถูกซ่อนอยู่หลังภูเขาที่เรียงตัวไปตามแนวกว้างไกลสายตา เป็นภาพที่ตื่นตาจริงๆ ค่ะ รอไปก็เก็บภาพเมฆหมอกที่มีอยู่ไปก่อน ไม่นานแสงสีทองก็เริ่มปรากฏอยู่ตรงขอบภูเขา และนั่น! พระอาทิตย์ตื่นมาทักทายอรุณสวัสดิ์แล้วววว!!...ชัตเตอร์ก็เลยถูกรัวไปตามหน้าที่ ไม่อยากให้พลาดช็อต เพราะแป๊ปๆ มันคงจะเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เห็นได้เต็มดวงซะที ความสว่างของบริเวณโดยรอบเต็มร้อยแล้ว มองไปรอบๆ เหมือนอยู่กลางสวรรค์เลยล่ะค่ะ หมอกซ้อนเป็นชั้นๆ เห็นภูเขาเรียงตัวกันลางๆ พร้อมดอกหญ้า สายลมหนาวและดวงอาทิตย์ ช่างโรแมนติกจริงอะไรจริง ><




ลองดูภาพที่ถ่ายมานะคะ ได้แสงสีที่หลากหลายมากเลย คิดไม่ถึงเลยค่ะ ว่าจะถ่ายมาจากสถานที่จริงๆ ที่ได้สัมผัสกับตาตัวเอง ฮิฮิ ต้องสัมผัสเองจะรู้ว่ามันสุดยอดมากๆ แต่สำหรับคนที่เคยสัมผัสจากทื่อื่นมาบ้างก็คงจะพอรู้ล่ะ แค่อาจจะมีบางมุมที่ต่างไป ก็แหงล่ะนะ ก็มันต่างที่นี่นา ^^





เดินไปเข้ากลุ่มอีกที ก็ถูกกวักมือแย่งกันเข้าไปอยู่ตำแหน่งหน้ากล้องจนเจี๊ยวจ๊าวซะเสียงสะท้อนก้องไปทั่วหน้าผาที่กำลังจับจองเพื่อถ่ายรูปกันอยู่ (มันสะท้อนจริงๆ นะ ยิ่งตะโกนออกไปตรงใกล้ๆ ขอบผา แต่ต้องระวังตกกันนิดนึงนะ แต่ละโค๊นนน...แย่งกันนั่งบนหินผาซะน่าหวาดเสียวจริงๆ - -! ถ่ายรูปตรงนี้กันไปสมใจก็เดินลงเนินกลับสู่เต็นท์กันอย่างเริงร่า สองข้างทางมีต้นไม้ไร้ใบเต็มไปหมด เดินไปก็เก็บภาพไปเรื่อยๆ ค่ะ...ความหนาวก็ค่อยๆ ลดลงตามช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ สูงขึ้นทุกทีๆ


เก็บเต็นท์เป็นที่เรียบร้อย ช่วงสายๆ ก็ได้เวลาลงจากภูเตรียมเดินทางกลับ กทม.ซะที อยากส่องตะวันต่ออีกสักวันนะคะ แต่ไว้โอกาสหน้าล่ะกัน อเมซซิ่งไทยแลนด์ยังมีอีกมากมายให้เลือกสรร ทานข้าวตรงร้านตามสั่งข้างบนก่อนเคลื่อนทัพจากที่สูงลงสู่ที่ราบกัน แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะคะ เพราะเรายังมีที่เที่ยวอยู่อีกหนึ่งที่

สวนหินผางาม คือ จุดหมายที่เราจะแวะเที่ยวกันก่อนกลับ หรือมีอีกชื่อที่เลื่องลือว่า “คุณหมิงเมืองไทย” ว้าว!..ฟังชื่อก็อยากไปแล้วสิ แต่ทำไมมันถึงยิ่งร้อนซะขนาดนี้หว่า เสื้อหนาวเลยชักไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่ก็ติดไปเผื่อว่าจะเจออากาศเปลี่ยน และก็เปลี่ยนจริงๆ ค่ะ เดินคดเคี้ยวเข้าไปตามทาง ลัดเลาะไปตามช่องภูเขาที่มีหินงอกหินย้อยเก๋ๆ สูงบ้าง เสี่ยงบ้างไปตามเรื่องตามราว ตามความตื่นเต้นที่มีพอเป็นสีสัน ในที่สุดก็ได้ขึ้นไปยืนบนแท่นชมวิว...โอ๊ะโอ! ได้เห็นซะที หน้าผางามๆ เรียงตัวไปเป็นแนวกว้างๆ เด่นตระหง่านเรียกร้องสายตาให้มองดูกันไป อ้อ! พอเข้าใจแล้วที่เรียกว่าคุณหมิงเมืองไทยก็เพราะอย่างนี้นี่เอง หินผาอันใหญ่โตมันดูอลังการสายตาจริงๆ นะ...เมืองจีนเดินทางไกลไป มาสัมผัสที่นี่ได้ระดับนี้ก็ชี่นใจแล้ว อิอิ...



อากาศตรงนี้ หนาวกว่าตรงที่ลงรถค่ะ แต่เก็บภาพไปนานๆ เหงื่อก็ชักออก ตอนออกจากตรงนี้เลยแวะหม่ำไอศครีมจากรถที่ขับมาจอดตรงทางออกซะหน่อย ระหว่างรอให้รถสองแถววนไปส่งยังจุดเริ่มต้นด้วย คราวนี้ ไม่ต้องเดินแล้วล่ะ เพียงแต่รอบแรก เค้าคงอยากให้ผจญภัยกันเล็กๆ เพื่อได้สัมผัสธรรมชาติของที่นี่ได้ละเอียดขึ้นไงล่ะคะ



เตรียมตัวขึ้นรถกลับกรุงเทพฯจริงๆ แล้ว ก็แวะซื้อของฝากกันสักนิสสสส...ก่อนเอาร่างที่เหน็ดเหนื่อยของตัวเองไปทิ้งในรถ สลบสไลพักผ่อนรอเวลาที่จะเดินทางไปถึงจุดหมาย แต่แหม...ให้วิ่งยาวๆ ตลอดเส้นทางไม่แวะที่ไหนเลย ก็คงเสียดายล่ะเนอะ ไปถึงจังหวัดใหญ่ๆ ก็แวะซื้อของกินบ้าง ของฝากบ้าง เรื่อยเปื่อยกันไป จนในที่สุด ช่องค่ำๆ เกือบจะดึกดื่นก็เดินทางถึงกรุงเทพฯซะที >

นึกแล้วก็ช่างแตกต่าง ทำไมที่นี่มันร้อนแบบนี้นะ คิดถึงบรรยากาศที่เพิ่งได้ไปสัมผัสขึ้นมา ความหนาวยังติดมาอยู่ในความรู้สึกเลยล่ะ น่าจะแบ่งปันมาให้กลางเมืองหลวงที่ร้อนอบอ้าวอย่างนี้บ้างนะเนี่ย...

แต่เอาเถอะค่ะ ภาพความทรงจำก็ถูกบันทึกไว้มากมายแล้วนี่นา อย่างน้อยก็ยังจินตนาการถึงมันได้อีก แต่ถ้าคิดถึงมันจริงจังอีกครั้งล่ะก็ ไว้น่าจะหาโอกาสขึ้นภู ขึ้นดอยแบบนี้อีกสักทีก็ดีนะ แต่ว่าจะเป็นที่ไหนดีล่ะ?...เลือกไม่ถูกเลย ที่แน่ๆ ตัวเองสามารถพูดได้เต็มปากและแนะนำต่อจากความรู้สึกจริงๆ ได้เลยค่ะ ว่า “ภูเรือ” นี่แหล่ะ เป็นอีกหนึ่งสถานที่น่าประทับใจอันเหมาะแก่การเป็นตัวเลือกของคุณที่ยังไม่เคยไปสุดๆ แล้ว ^^



Writer : Orrism


วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

วันหยุดพักผ่อนสบายๆกับธรรมชาติ ที่แก่งกระจานเพชรบุรี

             ก่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ทุกท่านคงคิดถึงการท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ แต่สำหรับทีม MM ก็ได้นัดหมายเพื่อที่จะได้เดินทางไปพักผ่อนหลังจากได้ทำงานหนักกันมาตลอดทั้งสัปดาห์ และสรุปกันได้ว่า เราอยากพักผ่อนสบายๆ ที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด สถานที่ท่องเที่ยวที่เราจะนั้นเป็นจังหวัดเพชรบุรี เพราะการเดินทางไม่ไกลจากกรุงเทพมากนักที่เพชรบุรี มีสถานที่ท่องเที่ยวให้เราเลือกมากมาย อาทิ ชะอำ ปึกเตียน หาดเจ้าสำราญ แก่งกระจานฯ แต่สำหรับทีม MM แล้วคงจะเลือกอะลัยไม่ได้นอกจาก แก่งกระจาน (เพราะว่าผมเป็นคนแนะนำ อิอิ) แต่สำหรับใครหลายๆคนอาจจะรู้จักกันเป็นอย่างนี้ เพราะแก่งกระจานก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงสถานที่หนึ่งของจังหวัดเพชรบุรี
            การเดินทางบางท่านที่ไม่มีรถส่วนตัวหรือไม่อยากนำรถไปนั้นก็ขอแนะนำมีรถตู้บริการท่าอยู่ที่อนุเสาวรีย์ฯ บริเวณด้านข้างของห้างเซ็นจูรี่ จะมีรถตู้ไปเพชรบุรี ในราคา 100 บาท แต่ถ้าจะไปอำเภอแก่งกระจาน (ตรงข้ามสถานีตำรวจแก่งกระจาน) ค่ารถ 200 บาท หรือถ้าจะให้ไปส่งถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (ริมเขื่อน) ต้องแจ้งคนขับรถด้วย จะมีคิดค่าบริการเพิ่มไหมแล้วแต่คนขับจะกรุณา

            - รถตู้จาก อนุเสาวรีย์ฯ - แก่งกระจาน จะออกทุกๆ 30 นาที (เมื่อรถเต็ม)
            - รถตู้จาก อนุเสาวรีย์ฯ - แก่งกระจาน จะเริ่มวิ่งตั้งแต่เวลา 05.00 น. - 20.00 น. ทุกวัน

          

แต่ในส่วนของทิปนี้มีคนสนใจเป็นจำนวนมากเลยต้องเช่ารถตู้กันไป ราคารถตู้ที่เช่าไปก็ตกประมาณวันละ 1800 บาท ก็ถือว่าไม่แพงมากส่วนของการเดินทางนั้น เราได้มีการกำหนดสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบุรีเอาไว้หลายที่ เช่น เขาวัง  วัดมหาธาตุ เป็นต้น
             การเดินทางในวันนั้นทีมเราได้ไปถึงเพชรบุรี ประมาณเวลา 09.00น จากนั้นก็ได้พากันไปเยี่ยมชมพระนครคีรี ซึ่งตั้งอยู่ทางเข้าตัวเมืองเพชรบุรี สำหรับทางขึ้นพระนครคีรีนั้น ขึ้นได้ 2 ทาง ทางแรกจะมีกระเช้าให้ขึ้นทางด้านหลัง อันนี้ไม่แน่ใจว่าราคาคนละเท่าไหร่ ส่วนทางที่สองจะที่ทางเดินขึ้น ด้านหน้า แต่สำหรับทีม MM แล้วคงต้องเดินออกกำลังกายกันขึ้นไป แต่เดินกันขึ้นไปได้สักประมาณ 200-300 ร้อยเมตร จะมีที่ขายบัตรเข้าชมพระราชวังด้านบน ในราคาคนละ20บาทเอง


  

               
การเดินขึ้นไปยอมรับเลยว่าเหนื่อยมากต้องพักเหนื่อยกันตลอดเป็นระยะ แต่ขอบอกว่าพอขึ้นไปถึงจุดบนยอดเขา ก็รู้สึกดีมากเลย เราได้เห็นบรรยากาศที่เราไม่ได้เห้นมาเป็นเวลาเกือบจะ 4 ปีที่เราไม่ได้อยู่เพชรบุรี ทำให้ยิ่งคิดถึงบ้านมากๆเลย (อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนนะตัวครับ อิอิ) เราได้ใช้เวลาในการเยี่ยมชมและพักเหนื่อยอยู่บ่นพระนครคีรี จนถึงเวลา 12.30 น.
    


             
            หลังจากการใช้เวลาในการเยี่ยมชมพระนครคีรีเสร็จแล้วลงมาได้พาพวกพี่ๆไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่คนต่างๆถิ่นไปเพชรบุรีจะต้องแวะไปชิมกันอยู่ตลอด ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้เขาจะตั้งอยู่ หลังจวนผู้ว่าจังหวัดเพชรบุรี หรือที่ผู้คนส่วนมากจะพูดถึงก็ตรงน้ำพุ ร้านนี้ชื่อร้านเม้ง มีก๋วยเตี๋ยวให้เลือก2อย่าง ทั้งก๋ยวเตี๋ยวเนื้อ และก๋วยเตี๋ยวหมู หลังจากทานก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้ว ก็ยังจะมีข้าวแช่ ที่เป็นอาหารขึ้นชื่อของจังหวัดเพชรบุรี ตั้งขายอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านให้ลองชิมกันอีก

             
            หลังจากอิ่มจากการรับประทานอาหารเที่ยงกันแล้ว ก็ต้องพาไปกราบสิ่งศักสิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองประจำจังหวัดเพชรบุรี นั้นก็คือ วัดมหาธาตุวรวิหาร ซึ่งวัดมหาธาตุนั้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างในสมัยใด มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะสร้าง สมัยทวารวดี - สุโขทัย มีอายุราว 800 - 1,000 ปี โดยประมาณ เนื่องจากขุดพบซากอิฐสมัยทวารวดีอยู่เป็นจำนวนมาก มีผู้กล่าวว่าวัดมหาธาตุวรวิหารน่าจะเคยเป็นวัดที่เคยมีความเจริญรุ่งเรืองและเป็นพระอารามหลวงมาก่อน ต่อมาชำรุดทรุดโทรมลง จนถึงสมัยรัชกาลที่ 6 จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกฐานะเป็นพระอารามหลวง เมื่อปี พ.ศ. 2459 ซึ่งพระสุวรรณมุณี (หลวงพ่อชิด ชิตรัตน์) เป็นเจ้าอาวาส


          วัดมหาธาตุวรวิหาร เป็นวัดที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดี ภายในพระวิหารหลวงของวัดประดิษฐานพระพุทธรุปสำคัญ คือ หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ วัดมหาธาตุ ด้านหลังพระวิหารหลวง คือ พระปรางค์ 5 ยอด อยู่ภายในวิหารคต ทางด้านทิศใต้ของพระวิหารหลวง คือ พระวิหารน้อย และวัดมหาธาตุวรวิหารยังได้สร้าง พิพิธภัณฑ์ของวัด เป็นที่รวมรวมศิลปะ ความเป็นมาต่าง ๆ ของวัดไว้ให้ผู้สนใจได้เข้าชม




          
         พออิ่มบุญกันแล้วที่นี้ก็ถึงโปรแกรมหลังของทิปนี้อิอิ เราก็มุ่งหน้าสู่แก่งกระจานที่เป็นเป้าหมายหลักของเราในทิปนี้ก็คือ ธนูรีสอร์ท สำหรับการเดินทางไปธนู รีสอร์ทนั้นเราใช้เวลาในการเดินทางไม่เกิน 45 นาทีจากตัวเมืองเพชรบุรี ก็ถึงที่พัก

         
ดู แก่งกระจาย ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า
         ราคาเริ่มต้นที่พักจะเริ่มต้นที่ 1,800 จนถึง 8,000 บาทต่อวัน ก็ถือว่าไม่แพงมากเท่าไหร่ และมีกิจกรรมให้เราเลือกเล่นหลายๆอย่าง เช่น รถ ATV ล่องเรือ & Rally เรือยาง BB Gun - Bullet Ball Gun เรือแคนู ล่องเรือยนต์ชมเขื่อนดินแก่งกระจาน รถนำเที่ยวเขาพะเนินทุ่ง (ราคาก็แล้วแต่ที่ทาง รีสอร์ทจะกำหนดนะครับ)        

       
        สำหรับพวกเรานั้นเลือกที่จะเล่นน้ำอยู่ที่รีสอร์ทมากกว่าเพราะเหนื่อยมากับการเที่ยวกันมาตั้งแต่เช้าและสำหรับอาหารนั้นทาง รีสอร์ทจะอนุญาต ให้เรานำอาหารเข้าไปย่างได้อย่างเดียวนะ ส่วนอย่างอื่นต้องสั่งกับทาง รีสอร์ท (ขอบอกว่าราคาอาหารที่นี้ไม่ได้ charge เลยเป็นราคาปกติทั่วไปแล้วอาหารก็อร่อยใช้ได้เลย) ทิปนี้เราไปกันทั้งหมด 2 วันค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็ตกประมาณ 25,000บาท (รวมหมดทุกอย่างแล้วนะ แถมยังมีเงินเหลือมาคืนกันด้วยขอบอก)



        



ตกกลางคืนพวกเราก็สนุกสนานกับการดื่มกิน ตั้งวงเล่นไพ่กันอย่างเมามัน งานนี้ไม่เมาไม่เลิกรา ให้คุ้มกับการได้พักผ่อนเสียหน่อย  แถมบรรยากาศที่นี่ก็ดีอีกด้วย ทำเอาพวกเราคิดว่าถ้ามีโอกาสอีก ต้องมาพักกันอีกแน่
การเที่ยวกับธรรมชาติด้วย เงินไม่กี่บาท ก็ทำให้พวกเรารู้สึกเต็มอิ่มกับการพักผ่อนแล้วล่ะ ได้ charge พลังเต็มทีพร้อมรบกับงานหลังกลับมา (อิๆๆ ก็งานรออยู่อีกเพียบเลยนี่) ใครสนใจอยากเที่ยวแบบธรรมชาติ ในราคาแสนจะประหยัดและอยู่ใกล้กรุงเทพฯ อีกด้วย แก่งกระจานเพชรบุรี ก็เป็นทางเลือกทีดีทีเดียว .........

ไปเที่ยวปาย...หน้าฝน


ฮะฮ้า และก็ถึงวันที่จะต้องออกเดินทางสู่..ปาย  9 กย.53 ที่ที่อยากไป ถึงจะช้าไปหน่อยไม่ทันเทรนด์ แต่ขอให้ได้ชื่อว่าไปมาแล้ว เมืองไทยของเราแท้ๆนะ ฝรั่งยังรู้เลยว่าปาย อยู่ตรงไหนของแผนที่โลก

เลือกไปปายหน้าฝนเพราะจะได้ไม่เหมือนใคร จริงๆคือเบื่อคนเยอะ คนส่วนใหญ่เขาจะไปหน้าหนาวหรือฝนต้นหนาวกัน
วางแผนล่วงหน้ากัน 1 เดือนกว่า ด้วยความใจง่ายน้องก้อยชวนปุ๊บ พี่หุยก็ตกลงทันที ด้วย concept ที่ว่าลำบากได้แต่ต้องปลอดภัย เราเลือกพักโรงแรม 4 ดาวที่ชื่อ YOMA  ที่เราคิดว่าไม่แพงคืนละ 1,500 บาท อันนี้จองตั้งแต่ กค.นะ พอจะใกล้ๆจะไปมาเช็คเจอโปรโมชั่นพอดี พัก 2 คืนฟรีคืนที่ 3 เลยโทรไปคุยกับโรงแรม คุณกรที่เป็นผู้จัดการก็อนุมัติคืนที่ 3 เพิ่มให้เรา สรุปตกคืนละ 1,000 บาท ก็โอนา

เดินทางโดยรถไม่ไปเครื่องเพื่อประหยัดเงินตามฐานะน้องก้อย โดยนครชัยแอร์ first class 21 ที่นั่ง ด้วยความที่ไม่ได้นั่งรถทัวร์มาเกือบ 10 ปี เดี๋ยวนี้มีรถ business class ด้วย ดูหนัง ฟังเพลง ส่วนตัวเหมือนนั่งเครื่องเลย
  


ใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมงถึงเชียงใหม่ลงรถที่ท่ารถอาเขตตอนที่ไปถึงก็ประมาณตี 5 ครึ่งก็เจอฝนกันเลยทีเดียว จากนั้นก็ต่อรถไปปายที่อาเขตนี่แหละ รถตู้ของเปรมประชาขนส่งเที่ยวแรกออก 6.00 น. เพื่อไปให้ถึงโรงแรมเร็วที่สุด อยากอาบน้ำ นอนชิวๆ สักพักก่อนลุยกันต่อ  ใช้เวลา 3 ชั่วโมง พอเริ่มเข้าเขตภูเขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็น อากาศดีมากๆ....  เดินทางไปได้ครึ่งทาง รถก็จะหยุดแวะพักเข้าห้องน้ำ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่เส้นทางอันคดโค้งในช่วงครึ่งหลัง เคล็ดลับกันเมาโดยไม่ต้องใช้ยา อันนี้ชาวตังเกเขาบอกมา ต้องกินให้อิ่มก่อนเดินทางสักครึ่งชั่วโมง ที่กลัวว่ากินแล้วจะอาเจียรออกมาไม่ถูกต้องคะ ถ้ายิ่งหิวจะเป็นแรงเสริมการคลื่นไส้ วิงเวียนเพิ่มขึ้น

ได้เวลาออกรถอีกครั้ง วิวข้างทางเขียวชะอุ่ม พอดีนั่งรถด้านที่เห็นวิวพาโนรามาแต่ไม่ไหวคะ ดูได้สักพักเริ่มอาการอยากแหวะ ดันมีชาวเขาเอาแกลลอนน้ำมันขอโดยสารไปเติมรถที่น้ำมันหมดกลางทาง  ทางก็คดโค้งน้ำมันก็กระฉอก เหม็นเชียว โอ๊ย หลับดีกว่า


หลังจากหลับหัวโขกกับน้องก้อยไปหลายโป๊ก ก็ถึงจุดหมาย...ปายทางซะที ฝนพึ่งตกเสร็จ  ในตัวอำเภอตอนกลางวันเงียบมาก นั่งชิลด์ที่ท่ารถสักครู่รอรถโรงแรมมารับ ถึงแล้วที่พักของเรา ติดแม่น้ำปายด้วย ขณะนี้เวลา 9 โมงเศษ โรงแรมใจดีให้เช็คอินได้เลยไม่ต้องรอเที่ยง หาว.. ขอนอนสักงีบ





ดู YOMA hotel ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า




เสียงท้องร้องปลุกให้เราตื่น เที่ยงแล้วเหรอเนี่ย มีเวลาครึ่งวัน trip วันนี้ ปั่นจักรยานเที่ยวละกัน ก่อนอื่นหาอะไรกินก่อนดีกว่า ขออะไรแซ่บๆแก้มึนก็ไม่พ้น ส้มตำ ไก่ย่าง ใกล้ๆโรงแรม ไก่แห้งดี แต่ส้มตำเหม็นเขียวมะเขือเปาะไปหน่อย ก็อร่อยกันไปแบบบ้านๆ เราคิดกันว่าจะขี่จักรยานไปสะพานประวัติศาสตร์ ดูจากแผนที่ก็ไม่ใกลมากนัก


หลังจากอิ่มท้องก็เริ่มออกเดินทางกันละนะ ขี่จักรยานไปตามถนนหลัก 1095 มุ่งไปทางใต้ ขี่ไปได้สักพัก โอ้ยทำไมเหนื่อยจัง ไม่ถึงสักที หลงป่าววะ จะถามก็ไม่มีคนให้ถาม เอ้าขี่ต่อไปทำไรไม่ได้ ตามแผนที่ก็ทางนี้แหละ ก้นเริ่มระบม ก้นกบก็ไม่ไหว ทางก็ขึ้นๆลงเนินเขา ยางรถแบนนี่หว่ามิน่าเร่งไม่ขึ้นเรยย ลงเดินแล้ววุ้ย  เห็นป้าย coffee in love อีก 800 เมตร  ยังไงขอที่นั่งพักปลอดภัย ไม่ยอมตายกลางทางแน่นอน และแล้วเราก็ขี่ๆ เข็นๆ จักรยานจนถึง coffee in love จนได้ พร้อมกับอาการหมดสภาพสุดๆ ... ขอยาดมด่วน สูดลมหายใจลึกๆ  make up บวกกับครีมกันแดด ผสมด้วยเหงื่อตอนบ่ายโมง บนเขาก็เถอะเย็นยังไงก็เอาไม่อยู่ แถมใหลเขาตาอีกต่างหากแสบชมัด เรียกว่าไม่เจียมสังขารนึกว่ายังฟิต



 




หลังจากพักเอาแรงไปสองชั่วโมงเราก็เริ่มฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ก็ต้องเก็บภาพไว้หน่อย ไม่บอกไม่รู้เลยว่าหมดสภาพมาเมื่อก่อนหน้านี้





















เอ้าเช็คพิกัดกันหน่อย



ดู เที่ยวปาย ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า


บ่ายสามกว่าแล้วกลับโรงแรมดีกว่า ไม่ไปแล้วสะพานไว้พรุ่งนี้ละกัน เมฆก้อนใหญ่ๆ มาบังดวงอาทิตย์พอดี ขากลับสบายกว่าขามาหน่อยเป็นขาลงเขา แต่ก้นน้อยๆ ของเราก็ยังโดนทำร้าย โดยอานจักรยานอยู่ดีอยู่ดี หาเรื่องแวะพักก้นด้วยการถ่ายรูปที่หลักกิโลเมตรที่ 0 สภ.ปายเป็นหลักฐานการมาถึง












ใกล้ตัวอำเภอแล้วค่อยใจชื้นหน่อย แวะถ่ายรูปที่จวนนายอำเภอ และหน้าที่ว่าการ เสียดายมาไม่ทันร้านส้มตำชื่อดัง ไว้เก็บวันหลัง























กลับไปว่ายน้ำที่โรงแรมดีกว่า เหนื่อยและร้อน ขอแช่น้ำให้สบายตัวหน่อยดีกว่า ชมวิวสูดอากาศบริสุทธิให้คุ้ม












ว่ายน้ำเสร็จแล้วค่ำๆ ค่อยออกไปเดินในตัวอำเภอ และหาข้าวเย็นอร่อยๆ กิน เอาร่มไปด้วยคะเพราะเรามาหน้าฝน โรงแรมอยู่ห่างแสงสีของอำเภอแต่ไม่ใกลมาก ยังเดินไหว เดินดูที่พักอื่นที่สวยๆ ไปเรื่อยๆ บางช่วงที่มืด ก็กลัวกันไปตามประสาคเมืองกรุงอย่างเรา ร้านในตัวอำเภอมีของน่ารักๆ ขายอยู่หลายร้าน ของฝาก เสื้อปายแบบนั่งเพ้นท์กันตรงนั้นให้เห็นว่า handmade แน่นอน


 






จบการเที่ยววันนี้ด้วยอาหารเย็นแบบพื้นๆ แต่อร่อยมากที่ร้านติดแม่น้ำปาย มาเหนือต้องทานผัดผักรวมคะเพราะผักจะสดอร่อย ส่วนหมูย่างน้ำตกเป็นเมนูอยากลอง สรุปคืออยากกินแล้วก็ไม่ผิดหวัง กลิ่นหอมฉุย ตั้งแต่ยังมาไม่ถึงโต๊ะเลย  มือนี้รวม 290 บาทเอง 
จบตอนแรก เจอกันตอนถัดไปในการท่องเที่ยงของเราที่ปายอีก 2 วัน